Kolnect พัฒนาโปรเจกต์ “ห้องทดลองตัวตน” ให้ควิซจิตวิทยากลายเป็นประสบการณ์เล่าเรื่องแบบโต้ตอบ ผู้เล่นค่อย ๆ ทำความรู้จักตัวเองผ่านโลกของ Selfchemy โดยใช้เครื่องมือของ OOOPEN Lab ที่ช่วยให้งานออกแบบต่อเนื่องและเป็นระบบ โปรเจกต์ได้รับการตอบรับเกินคาด: เล่นจบจริง แชร์ต่อจริง และขยายสู่ผู้เล่นกลุ่มใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ บทความนี้ชวนสำรวจเบื้องหลังแนวคิด กระบวนการทำงาน และบทเรียนที่ทีมได้รับจากโปรเจกต์นี้
Created by: Malini Phetkon — Pen name: Malimuay
Design & Development by: Kolnect (a creative unit under Ideaslabs Co., Ltd., Thailand)
ที่มาและแรงบันดาลใจของโปรเจกต์
ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมว่า โปรเจกต์ “ห้องทดลองตัวตน (The Laboratory of Selfhood)” นี้ คุณตั้งใจอยากให้บรรลุผลลัพธ์อะไรเป็นหลัก?
ความตั้งใจแรกคืออยากให้ผู้เล่นได้รู้จัก Kolnect ไปพร้อมกัน เพื่อให้คนเข้าใจแนวคิดของแพลตฟอร์มว่า “ทุกคนสามารถเป็นครีเอเตอร์ได้” หากรู้จักจุดแข็งและสไตล์ของตัวเอง โปรเจกต์นี้ตั้งใจให้เป็นงานทดลองสร้างสรรค์ และเครื่องมือสื่อสารภาพลักษณ์ของ Kolnect ในแบบที่สนุก เข้าใจง่าย และมีความหมายกับคนเล่นจริง ๆ แต่อยากให้ใครๆก็สามารถเล่นได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น ครีเอเตอร์
ในตอนเริ่มต้น คุณตั้งเป้ากลุ่มผู้เล่นกลุ่มไหนให้รู้สึกเชื่อมโยงหรืออินกับโปรเจกต์เป็นพิเศษ?
กลุ่มผู้เล่นที่อยากให้รู้สึกเชื่อมโยงที่สุด คือคนที่อยู่ในช่วง “ค้นหาตัวเอง” ไม่ว่าจะเป็นครีเอเตอร์ นักเรียน หรือคนทั่วไปที่อยากเข้าใจตัวเองมากขึ้น ฉันเลือกใช้แนวคิด “ห้องทดลอง” และ “เวทมนตร์แปรธาตุ (Alchemy)” เพราะมันเปรียบเหมือนกระบวนการทดลองภายในใจ ที่เรานำเศษเล็ก ๆ ของประสบการณ์ ความรู้สึก และความคิด มาผสมจนกลายเป็น “สารใหม่” ที่สะท้อนตัวตนของแต่ละคนได้อย่างเป็นเอกลักษณ์
ชื่อโปรเจกต์ที่มีคำว่า “ห้องทดลอง” และ “Selfchemy” นั้น มีที่มาหรือแรงบันดาลใจจากอะไร? และทำไมสุดท้ายคุณถึงตัดสินใจเลือกใช้ OOOPEN Lab ในการสร้างโปรเจกต์นี้?
ชื่อโปรเจกต์ “ห้องทดลองแห่งตัวตน (The Laboratory of Selfhood)” มาจากแนวคิด “Selfchemy” ที่ผสมคำว่า Self กับ Alchemy หมายถึงการ “กลั่นตัวตนให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์” แรงบันดาลใจนี้ได้มาจากแนวคิดของ Ideaslabs ที่พูดถึง “ห้องทดลองของไอเดีย” ฉันจึงอยากต่อยอดให้เป็น “ห้องทดลองของตัวตน” ที่ทุกคนสามารถสร้างสูตรเฉพาะของตัวเองได้
ส่วนที่เลือกใช้ OOOPEN Lab เพราะแพลตฟอร์มนี้เปิดโอกาสให้ทำงานแบบ interactive storytelling ได้จริง และเข้ากับแนวคิดการ “ทดลอง” ของโปรเจกต์มากที่สุด
ทั้งในแง่ประสบการณ์ผู้เล่นและการเล่าเรื่อง ทำให้ “ห้องทดลองแห่งตัวตน” ดูมีชีวิตและเข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับทุกคน.
กระบวนการสร้างแบบทดสอบ
ทำไมคุณถึงเลือกใช้ “โมดูลแบบทดสอบบุคลิกภาพ” ในการสร้างโปรเจกต์นี้? ก่อนหน้านี้เคยทำโปรเจกต์ในรูปแบบคล้ายกันมาก่อนไหม?
ฉันเลือกใช้ โมดูลแบบทดสอบบุคลิกภาพ เพราะมันเข้ากับแนวคิดของ Selfchemy ที่อยากให้ผู้เล่น “ค้นพบตัวเองผ่านการทดลอง” แบบทดสอบช่วยให้ทุกคำตอบของผู้เล่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแปรธาตุ จากคำถามธรรมดา ๆ ค่อย ๆ กลั่นออกมาเป็น “พลัง” หรือ “วัตถุ Selfchemy” ที่แทนตัวตนในแบบเฉพาะของแต่ละคน มันไม่ใช่แค่เกมทายบุคลิก แต่เป็นการจำลอง “ห้องทดลองจิตใจ” ที่ทำให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมกับเรื่องราวได้จริง.
ก่อนหน้านี้ เคยทำโปรเจกต์แนวควิสเล่าเรื่องมาก่อน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบเบื้องต้นเป็นการทดลองที่อยากลองให้เพื่อนๆและพี่ๆได้ลองเล่น แต่ “ห้องทดลองแห่งตัวตน (The Laboratory of Selfhood)” ถือเป็นครั้งแรกที่ฉันตั้งใจออกแบบควิสให้เป็นระบบ narrative-based จริง ๆ ทุกคำถามต่อเนื่องกันเหมือนการเดินทางในโลกของ Selfchemy
จากฟีเจอร์ทั้งหมดของ OOOPEN Lab มีส่วนไหนที่คุณรู้สึกว่าใช้งานง่ายหรือมีประโยชน์มากที่สุด?
ฟีเจอร์ที่รู้สึกว่ามีประโยชน์มากที่สุดคือ ระบบจัดการคำถามและผลลัพธ์ (Question–Result System) ของ OOOPEN Lab มันช่วยให้สามารถออกแบบเส้นเรื่องให้ต่อเนื่องได้อย่างอิสระ แถมยังปรับภาพ หน้าผลลัพธ์ และข้อความให้อยู่ในธีมเดียวกันได้ง่ายมาก ฟีเจอร์นี้ทำให้โครงสร้างของโปรเจกต์ที่ซับซ้อนอย่าง Selfchemy สามารถจัดการได้เป็นระเบียบ และมองภาพรวมของเรื่องราวได้ชัดเจนโดยไม่ต้องเขียนโค้ดเอง.
ในขั้นตอนการสร้างสรรค์ คุณได้ใช้เครื่องมือ AI มาช่วยหรือไม่? และถ้าใช้ ขั้นตอนไหนที่รู้สึกว่า AI ช่วยได้มากที่สุด?
ฉันเริ่มจากมีแนวคิดและคอนเซปต์ทั้งหมดชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งธีม “ห้องทดลอง”, บรรยากาศ, และสิ่งที่อยากให้ผู้เล่นรู้สึก หลังจากนั้นจึงใช้ AI ช่วยในช่วง จัดเรียงเนื้อหาและปรับจังหวะของคำถาม ให้ลื่นและสร้างสรรค์มากขึ้น
ในการออกแบบคำถามและผลลัพธ์ของตัวละคร คุณเชื่อมโยงองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น “ประตู”, “น้ำยาวิเศษ”, และ “แบบทดสอบความทรงจำ” เข้าด้วยกันอย่างไร เพื่อให้ผู้เล่นค่อย ๆ ดำดิ่งสู่โลกของ Selfchemy?
ฉันออกแบบให้องค์ประกอบแต่ละอย่างในเกมทำหน้าที่เหมือน “ขั้นตอนของการทดลองตัวตน” เช่น ประตู เปรียบกับการตัดสินใจเริ่มต้นสำรวจตัวเอง , น้ำยาวิเศษ สื่อถึงพลังหรือคุณสมบัติที่แต่ละคนสร้างขึ้นจากประสบการณ์เฉพาะของตัวเอง
เบื้องหลังของคำถามและผลลัพธ์ ฉันใช้แนวคิด MBTI เป็นกรอบอ้างอิง เพื่อคาดคะเนแนวโน้มทางความคิดและพฤติกรรมของผู้เล่น ไม่ใช่เพื่อจำแนกคน แต่เพื่อทำให้ประสบการณ์มี “ความเฉพาะตัว” มากขึ้น เช่น เส้นทางของคนที่มีลักษณะ Introvert จะเต็มไปด้วยการสังเกตและการไตร่ตรอง ในขณะที่ Extrovert จะมีจังหวะของการลงมือและพลังมากกว่า
ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้ต่อเนื่องกัน เหมือนการเดินผ่านห้องทดลองจริง ๆ
จากการเปิดประตู เข้าสู่การทดลอง และจบลงด้วยการกลั่น “Selfchemy Object” ซึ่งสะท้อนพลังและบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน.
ผลลัพธ์และฟีดแบ็กจากผู้เล่น
คุณคิดว่าโปรเจกต์นี้บรรลุหรือเกินความคาดหวังเดิมของคุณไหม? และคุณใช้ตัวชี้วัดอะไรในการประเมินผล?
โปรเจกต์นี้ถือว่าบรรลุและเกินความคาดหวังค่ะ ตอนแรกตั้งใจให้เป็นแค่แบบทดสอบเชิงสร้างสรรค์เพื่อโปรโมตแนวคิดของ Kolnect แต่ผลลัพธ์กลับเกินคาด ทั้งจำนวนผู้เล่นที่เล่นจนจบ อัตราการแชร์ และฟีดแบ็กจากผู้เล่นที่เข้ามาโดยไม่ได้รู้จักมาก่อน แต่สิ่งที่ทำให้ฉันดีใจที่สุดคือมีคนที่ชอบเล่นควิสทดสอบบุคลิกอยู่แล้วส่งข้อความมาชม “ควิสนี้มีบรรยากาศต่างจากที่เคยเล่น รู้สึกนึกภาพตามสถานการณ์ระหว่างดำเนินการเล่นได้” ตอนนั้นรู้สึกว่าความตั้งใจทั้งหมดที่ใส่ไป มันถูกส่งถึงคนเล่นจริง ๆ.
ตัวชี้วัดหลักที่ใช้คือ อัตราการเล่นจนจบ (completion rate), จำนวนการแชร์, และ คอมเมนต์หรือข้อความฟีดแบ็กโดยตรง จากผู้เล่น
มีข้อมูลหรือตัวเลขผลลัพธ์อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจหรือไม่?
สิ่งที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจที่สุดคือ จำนวนผู้เล่นที่เล่นจนจบและแชร์ต่อสูงกว่าที่คาดไว้มาก
โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกที่เปิดให้เล่น มีคนเข้ามาทดลองมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้หลายเท่า และส่วนใหญ่ใช้เวลานานกับหน้าเนื้อเรื่องแต่ละตอน ซึ่งแปลว่าผู้เล่นไม่ได้แค่คลิกผ่าน ๆ แต่ “อยู่กับประสบการณ์” จริง ๆ อีกอย่างที่น่าดีใจคือ มีหลายคนกลับมาเล่นซ้ำเพื่อดูว่าถ้าเลือกคำตอบต่างกันจะได้ผลลัพธ์แบบไหน มันสะท้อนว่าโปรเจกต์ไม่ได้ถูกมองแค่เป็นควิสทั่วไป แต่เป็นพื้นที่ทดลองที่คนอยาก “กลับเข้ามาอีกครั้ง”.
มีความคิดเห็นหรือปฏิกิริยาจากผู้เล่น/ชุมชนที่น่าจดจำเป็นพิเศษหรือไม่?
มีหลายฟีดแบ็กที่น่าจดจำ แต่สิ่งที่ทำให้ประทับใจที่สุดคือมี คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ลองเล่นโดยบังเอิญ แล้วแชร์ผลลัพธ์ลงในโซเชียลพร้อมแท็กเพื่อนให้ลองต่อ มันกลายเป็นการส่งต่อกันเองแบบธรรมชาติ เหมือนโปรเจกต์ได้เติบโตผ่านคนเล่นจริง ๆ โดยไม่ต้องโปรโมตมาก ตรงนั้นทำให้รู้สึกว่าคอนเซปต์ “ห้องทดลองตัวตน” สามารถเชื่อมถึงผู้คนได้ในแบบที่ตั้งใจไว้จริง ๆ.
กลยุทธ์การโปรโมตและการขยายกระแส
คุณใช้ช่องทางไหนในการโปรโมตโปรเจกต์นี้เป็นหลัก?
ฉันใช้ช่องทางหลักคือ Instagram และ Facebook ของ Kolnect ในการโปรโมต เพราะเป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มผู้เล่นเป้าหมายอยู่แล้ว และสามารถเล่าเรื่องของโปรเจกต์ผ่านภาพและสตอรี่ได้ดี นอกจากนี้ยังแชร์ผ่านช่องทางส่วนตัว เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้เล่นใหม่ ๆ ที่สนใจคอนเทนต์แนว self-discovery และเกมทดสอบตัวตนด้วย.
ตอนนั้นคุณได้ออกแบบกลยุทธ์หรือคอนเทนต์พิเศษเพื่อโปรโมตหรือไม่?
ได้ออกแบบไว้โดยเฉพาะค่ะ โดยใช้แนวทาง “เล่นแล้วแชร์ได้เลย” ฉันออกแบบ ภาพผลลัพธ์ Selfchemy ทั้ง 6 แบบ ในขนาด IG Story เพื่อให้ผู้เล่นสามารถเซฟและโพสต์ต่อได้ทันที พร้อมช่องเว้นสำหรับแท็กเพื่อน แนวคิดนี้ช่วยให้คอนเทนต์กระจายตัวเองผ่านผู้เล่นจริง โดยไม่ต้องพึ่งโฆษณา เหมือนคนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการโปรโมตไปในตัว.
ในกระบวนการโปรโมต วิธีไหนหรือคอนเทนต์แบบไหนที่ได้ผลดีที่สุด?
คอนเทนต์ที่ได้ผลดีที่สุดคือ ภาพผลลัพธ์แบบ IG Story Template ของแต่ละ Selfchemy เพราะผู้เล่นสามารถแชร์ต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องแก้ไขอะไร ทำให้เกิดการบอกต่อแบบธรรมชาติ หลายคนแท็กเพื่อนให้มาลองเล่นต่อ เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ของกันและกัน จนกลายเป็นกิจกรรมเล็ก ๆ ในโซเชียลที่เกิดขึ้นเอง
นอกจากนี้ยังมีบางคนเก็บภาพผลลัพธ์ไว้ในสตอรี่ไฮไลต์ของตัวเอง เหมือนเป็น “สัญลักษณ์ของตัวตน” ที่อยากจดจำ ซึ่งช่วยให้โปรเจกต์มีชีวิตต่อบนหน้าฟีดของผู้เล่นแม้จบการเล่นไปแล้ว.
คุณได้ใช้แฮชแท็ก ร่วมงานกับ KOL หรือจัดกิจกรรมเชิงโต้ตอบในแคมเปญโปรโมตไหม? ถ้าใช่ ช่วยยกตัวอย่างให้เราฟังหน่อย
โปรเจกต์นี้ไม่ได้ร่วมงานกับ KOL โดยตรงค่ะ แต่ใช้วิธีให้ผู้เล่นทั่วไปเป็นคนช่วยขยายกระแสแทน/span> ฉันออกแบบให้ผู้เล่นแชร์ผลลัพธ์ลงสตอรี่พร้อมแฮชแท็ก #Selfchemy และ #ห้องทดลองตัวตน เพื่อให้ค้นหาและติดตามต่อได้ง่าย พอเริ่มมีคนแชร์มากขึ้น ก็เกิดการแท็กต่อกันแบบธรรมชาติ กลายเป็นกิจกรรมโต้ตอบเล็ก ๆ ระหว่างเพื่อนในโซเชียล ที่ทำให้โปรเจกต์ถูกพูดถึงต่อเนื่องโดยไม่ต้องโปรโมตแบบเสียเงินเลย.
คุณสังเกตเห็นการ “ขยายวง” ของกระแสไปยังกลุ่มใหม่ ๆ หรือไม่? (เช่น กลุ่มอายุที่ต่างกัน หรือกลุ่มโซเชียลที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายดั้งเดิม)
ใช่ค่ะ หลังจากเปิดให้เล่นไปช่วงหนึ่ง เริ่มเห็นว่ากระแสขยายออกไปเกินกลุ่มเป้าหมายเดิมของ Kolnect จากเดิมที่ตั้งใจสื่อสารกับครีเอเตอร์และคนทำคอนเทนต์ กลับมีผู้เล่นใหม่อย่างนักเรียน มหาวิทยาลัย คนทำงานสายดีไซน์ และคนที่สนใจเรื่อง self-growth เข้ามาเล่นจำนวนมาก สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายคนในกลุ่มนี้ไม่ได้รู้จัก Kolnect มาก่อน แต่เข้ามาเพราะชอบแนวคอนเซปต์ “ห้องทดลองตัวตน” ทำให้โปรเจกต์นี้กลายเป็นจุดเชื่อมระหว่างแบรนด์กับคนทั่วไปในวงกว้างมากขึ้น แบบที่ไม่ได้วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นแต่เกิดขึ้นเองจากแรงบอกต่อของผู้เล่นจริง ๆ.
แผนต่อยอดในอนาคตและคำแนะนำ
คุณมีแผนจะลองทำธีมหรือโมดูลใหม่ ๆ ในอนาคตไหม?
มีค่ะ จากที่ฉันเห็นว่าใน OOOPEN Lab มีการเพิ่มโมดูลใหม่ ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ มันทำให้ฉันเริ่มมีไอเดียใหม่ ๆ ที่อยากจะต่อยอด เช่น การสร้าง “ห้องทดลองย่อย” สำหรับสำรวจตัวเองในแง่มุมอื่น ๆ อย่างความทรงจำ ความสัมพันธ์ หรือแรงบันดาลใจ
รวมถึงอยากลองใช้โมดูลแบบใหม่ที่ทำให้ฉันมีไอเดียใฟม่ๆที่อยากผลิตผลงานออกมามากขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่การต่อยอด แต่เป็นการสร้างสิ่งใหม่และความสนุกใหม่ๆให้กับผู้เล่นได้ทดสอบและลองอะไรใหม่ๆมากขึ้นค่ะ
ถ้าจะให้คำแนะนำกับครีเอเตอร์คนอื่น ๆ คุณอยากแนะนำเทคนิคหรือขั้นตอนการสร้างแบบไหน?
อยากแนะนำให้เริ่มจากการกำหนด “ความรู้สึกที่อยากให้ผู้เล่นได้รับ” ก่อนค่ะ
เพราะเมื่อรู้เป้าหมายทางอารมณ์แล้ว การออกแบบคำถามและเส้นเรื่องจะง่ายขึ้นมากสำหรับฉัน วิธีที่ได้ผลคือการ วางโครงเรื่องให้ต่อเนื่องเหมือนการเดินทาง แล้วค่อยเติมคำถามในแต่ละช่วงที่สอดคล้องกับอารมณ์ของตอนนั้น อีกอย่างคืออย่ากลัวการลองโมดูลของ OOOPEN Lab ปรับแก้ได้ตลอด ลองเทสต์หลายแบบดู แล้วจะเห็นชัดว่าผู้เล่นตอบสนองกับอะไรที่สุด.
สุดท้าย ช่วยแนะนำ OOOPEN Lab เป็นประโยคสั้น ๆ หนึ่งประโยคได้ไหม? (เราอาจนำไปใช้เผยแพร่บนหน้าเว็บไซต์หลัก)
OOOPEN Lab ช่วยให้การสร้างสรรค์กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้กลายเป็นผลงานจริงได้อย่างง่าย สนุก และเป็นระบบ